วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

verb to be


Verb to be (is, am, are)

        Verb  to  be  มีหลักการใช้  ดังนี้
1.            ถ้าเป็นกริยาสำคัญในประโยค  มีความหมายว่า  เป็น  อยู่  คือ                                                         2.            ใช้วางข้างหน้า กลุ่มคำ   adjective  ( คำคุณศัพท์ )                                                                         3.            ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Continuous ( ประโยคที่มี กริยา ing )                             4.            ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Passive  Voice( ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ )

หลักการใช้กับประธานในประโยค
            1.  ถ้าประธานที่เป็นเอกพจน์บุรุษที่  3  ซึ่งได้แก่  He  She  It  หรือ ชื่อคนคนเดียว
     สัตว์ตัวเดียว  และสิ่งของอันเดียวที่ถูกกล่าวถึง  Verb  to  be  ที่ใช้  คือ  is   เช่น
                        *He  is  a  teacher.                               *Sam  is  a  singer
                        *She  is  in  the  room.                         *My  father   is  sleeping.
                        *It  is  a  dog.                                       *The  pencil  is  on  the  table
            2.   ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่  1  (  ผู้พูดคนเดียว ซึ่งได้แก่  I  Verb  to  be ที่ใช้  คือ  am                    
                        *I  am  a  student.                                *  I  am  under  the  table.
            3.  ประธานเป็นพหูพจน์ทุกบุรุษ  ซึ่งได้แก่  We  You  They   หรือ ชื่อคนหลาย 
     สัตว์หลายตัว และสิ่งของหลายอันที่ถูกกล่าวถึง  Verb  to  be  ที่ใช้  คือ  
     are  เช่น
                        *We  are  nurses.                    *My  father  and  I  are  in  the  room.
                         *They  are  policemen.           *Suda and  her  friends  are  under  the  tree.
                        *You  are  very  good.            *The  players  are  in  the  playground.

                                       ที่มา : https://sites.google.com/site/tukkiekaka/unit-1

การสร้างประโยคที่มี Verb  to  be  ให้เป็นประโยคปฏิเสธ.
มีวิธีการดังนี้
            เติม  not   ลงไปในตำแหน่งที่เรียงต่อจาก Verb  to  be    หลัง  is  am  are  เช่น
                        *He  is  not  in  the  room.                   *I  am  not  a  child.
                        *They  are  not  teachers.                    *Suda  is  not  reading.
 หมายเหตุ         รูปย่อของ ปฏิเสธ Verb  to  be  คือ  is  not  ย่อเป็น  isn’t
                        am  not  จะไม่ใช้รูปย่อ                        are  not  ย่อเป็น  aren’t


        การทำประโยคที่มี  Verb  to  be ให้เป็นประโยคคำถาม Yes  No  Question 
มีหลักการดังนี้

            เอา  Verb  to  be  มาวางหน้าประโยค  และเอาประธานของประโยคมาวาง
เรียงต่อจากVerb  to  be  หลังจบประโยค  ต้องใส่เครื่องหมายคำถาม เช่น
                        He  is  in  the  room. เปลี่ยนเป็น  Is  he  in  the  room ?
                        They  are  soldiers     เปลี่ยนเป็น   Are  they  soldiers?
                        I  am  a  boy.             เปลี่ยนเป็น  Am  I  a  boy ?

ที่มา : https://sites.google.com/site/tukkiekaka/unit-1


Adverb

Adverb

    Adverb ซึ่งจะเกิดขึ้นและมีความจำเป็นต้องใช้บ่อยในชีวิตประจำวันและประโยคเพื่อให้มีความสละสลวยเพิ่มมากขึ้นและบ่งชี้ถึงกิริยาที่กำลังทำอยู่อย่างสวยงามครับ เรามาดูกันนะว่า Adverb มีรูปแบบการใช้อย่างไรและอะไรบ้างAdverb (คำกริยาวิเศษณ์)
Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ ทำหน้าที่ขยายคำกริยา, คำคุณศัพท์, และคำกริยาวิเศษณ์ตัวอื่นๆ โดยมีลักษณะต่างๆดังนี้
ชนิดของ Adverb แบ่งตามความหมายได้ดังนี้
1. Adverb of manner (กริยาวิเศษณ์บอกกริยาอาการ)
adverb ที่บอกว่าการกระทำนั้นได้กระทำในลักษณะอาการอย่างไร ( How ) ส่วนมากจะเป็น adverb ที่ลงท้ายคำด้วย -ly ของคำคุณศัพท์
เช่น quickly, happily, bravely, hard, fast, well

2. Adverb of place (กริยาวิเศษณ์บอกสถานที่)
adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ไหน หรือ การเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนัง ( Where )
เช่น here, there, everywhere, up, down, near, abroad, above

3. Adverb of time (กริยาวิเศษณ์บอกเวลา)
adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดเมื่อใด ( when ) เป็นเวลานานแค่ไหน ( for how long ) และบ่อยแค่ไหน ( how often )
เช่น When = today, yesterday, later,now, last year, after, soon, before, sometime, For how long = all day, not long, for a while, since last year, temporarily, briefly, from……to, till, until ( บางตำราแยกเป็น Adverbs of Duration [กริยาวิเศษณ์บอกระยะที่ดำเนินการมา] )
How often = sometimes , frequently, never, often, always, monthly ( บางตำราแยกหัวข้อนี้ออกเป็น Adverbs of Frequency [กริยาวิเศษณ์บอกความสม่ำเสมอ] )

4. Adverb of degree
เป็นกริยาวิเศษณ์ที่ส่วนใหญ่ไปขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง เพื่อบอกระดับหรือปริมาณความมากน้อย คำที่พบบ่อยๆ (How much) ( บางตำราแยกหัวข้อนี้ออกเป็น Adverbs of quantity [กริยาวิเศษณ์บอกปริมาณมากหรือน้อย] )
ได้แก่
เช่น very, fairly, rather, quite, too, hardly

5. Adverb of Affirmation or Negation คือ กริยาวิเศษณ์บอกการรับหรือปฏิเสธ
เช่น yes, no, not, not at all, of course, actually

*6. Conjunctive Adverbs เป็นกริยาวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมอนุประโยค (independent clause) ในประโยค โดยมีข้อความของอนุประโยคหน้าและอนุประโยคหลังเชื่อมโยงกัน เช่นคำต่อไปนี้
เช่น next, finally, also, anyway, besides, still
*7. Interrogative Adverbs (บางตำราก็เขียนไว้ว่า Adverb of Interrogative) กริยาวิเศษณ์นำในประโยคคำถาม ได้แก่คำดังต่อไปนี้
เช่น why, where, how, when, which, who
*8. Relative Adverbs เป็นคำกริยาวิเศษณ์นำหน้า relative clause ได้แก่คำ when, where, why แทนคำ preposition + which
* หมายเหตุ บางตำราอาจจะไม่มี หรือรวมไว้ในหมวดเดียวกัน
หลักการสร้าง Adverb / แหล่งกำเนิด Adverb (หลักการเปลี่ยน adjective -> adverb)


1. Adverb ส่วนมากเกิดจากคำการเติม –ly ท้าย adjective
careful -> carefully
quick -> quickly
โดยหลักการเติม –ly มีดังนี้
a) คำที่ลงท้ายด้วย –e ให้เติม –ly ได้เลย เช่น
extreme -> extremely
ยกเว้น คำเหล่านี้ที่เปลี่ยนทั้งรูปได้แก่ true -> truly, due -> duly, whole -> wholly
b) คำที่ลงท้ายด้วย –le (-able, -ible) ให้เติม –ly เช่น
comfortable -> comfortablely
c) คำที่ลงท้ายด้วย –y เปลี่ยน –y เป็น –i และเติม –ly เช่น
happy -> happily
d) คำที่ลงท้ายด้วย (สระ+l) ให้เติม –ly เช่น
beautiful -> beautilfully
e) นอกจากกฎเกณฑ์ที่ลงท้ายตามข้อ 1-2 แล้ว เมื่อต้องการให้เป็นกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ให้เติม ly ปัจจัยได้เลย ไม่ต้องลังเลใจให้เสียเวลา
2. Adverb บางคำขึ้นต้นด้วย a-
เช่น a+go = ago, a+broad = abroad, a+new = anew, a+part = apart, a+side = aside
3. Adverb บางชนิดเติม –wise หรือ –ward
เช่น forwards, backwards
4. มีรูปของตนเองมาโดยกำเนิด จะต่อเติมหรือตัดออกแม้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ได้ ได้แก่คำว่า here,there,hard,always,well,lften,too,ver,early, seldom,etc.
*** 5.Adverb บางคำเป็นรูปเดียวกับ Adjective
มี Adverb อยู่บางตัวซึ่งมีรูปเช่นเดียวกันกับ Adjective
คำต่อไปนี้เป็นได้ทั้ง Adjective และ Adverb
สุดท้ายแต่วิธีใช้ หรือตำแหน่งวางไว้ในประโยคของมันได้แก่
table update coming soon…)
คำทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถ้านำไปใช้โดยวางไว้หน้านามหรือหลัง Ber to be, taste, feel, smell, etc. ทำหน้าที่ เป็น Adjective แต่ถ้านำไปใช้โดยวางไว้หลังกริยาทั่ว ๆ ไป นอกจาก
Verb to do ฯลฯ ตามที่กล่าวมาแล้ว ทำหน้าที่เป็น Adverb ตัวอย่าง

วิธีการใช้ adverb
        1. Adverb of manner
+ ถ้าประโยคไม่มีกรรมให้วางหลังกริยา เช่น They walk slowly.
+ ถ้าประโยคนั้นมีกรรม ให้วางหลังกรรม เช่น I can speak Japanese well.
+ Adverb of Manner ที่ลงท้ายด้วย -ly หรือเป็นคำที่แสดงความเห็นของผู้พูดเกี่ยวกับการกระทำนั้น ส่วนใหญ่นิยมวางไว้ในประโยค เช่น I have carefully considered all of the possibilities.
+ Adverbs of Manner อาจจะวางไว้หน้าประโยคได้เมื่อต้องการเน้น Adverb นั้น เช่น
Patiently, we waited for the show to begin.
+ ประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย How ให้วาง Adverbs of Manner ไว้หลัง How เช่น
How quickly the time passes!
+ ในประโยค passive voice ถ้ามี Adverb of Manner มาขยาย ให้วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 เสมอ
เช่น The report was well written.
+ แต่ในกรณีที่ต้องการเน้น สามารถนำมาไว้หน้าประโยคได้ เช่น As quickly as we could, we finished the work.
        2. Adverb of place
+ ตำแหน่งของ Adverb of Place ปกติจะวางท้ายประโยคหลังกริยาหลัก ( main verb ) หรือหลังกรรม ( object ) และไม่มีคำอื่นต่อท้าย เช่น
The students are walking home.
        3. Adverb of time
+ Adverb ที่บอกว่าเกิดเมื่อใด ( When ) ส่วนมากจะนิยมวางท้ายประโยค เช่น
I ‘m going to tidy my room tomorrow.
+ Adverb of time ส่วนมากจะวางไว้ในกลางประโยคไม่ได้ ยกเว้น now, once, และ then เช่น It is now time to leave.
+ Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหน ( how often ) เป็นการแสดงความถี่ของการกระทำ ส่วนมากวางหน้ากริยาหลัก ( main verb ) แต่หลังกริยาช่วย ( auxiliary verbs ) เช่น be, have, may, must
I often eat vegetarian food.
+ Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหนซึ่งระบุจำนวนเวลาของการกระทำที่แน่นอน ส่วนมากจะวางท้ายประโยค เช่น This magazine is published monthly.
+ Adverb ที่สามารถวางท้ายประโยค หรือวางหน้ากริยาหลัก เช่น frequently,generally, normally, occasionally,often, regularly, sometimes, usually เช่น She regularly visits France.
        4. Adverb of degree
+ ตำแหน่งของ Adverbs of Degree ส่วนใหญ่วางหน้าคำที่มันขยาย มักจะขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง และวางหน้า main verb หรือระหว่างกริยาช่วย ( auxiliary verb )กับ main verb เช่น The water was extremely cold.
หลักการเรียงลำดับ adverb หลายชนิดที่ขยายกริยา
1.สถานที่ (place) 2.กริยาอาการ (manner) 3.ความถี่ (frequency) 4.เวลา (Time)
* โดยมากใช้กับกริยาที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เช่น go, leave, walk, fly, come
(table update coming soon...)
* ้าเป็นกริยาที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งให้เรียงกริยาอาการมาก่อนสถานที่
- She sang beautifully in the hall last night.
* กรณีมี adverb ชนิดเดียวกันมากกว่า 1 ตัวขยายกริยา ให้เรียงจากจุดเล็กสุดมายังจุดกว้างสุด
- Dan was born at seven o’clock on Sunday in August in 1975

ที่มา : https://www.facebook.com/permalink.php?id=110768905660779&story_fbid=442772649127068

preposition

การใช้คำบุพบท (Preposition)


ที่มา : https://www.google.co.th/search?q=s+es&espv=2&biw=1536&bih=749&site=webhp&tbm=isch&source=lnms&sa=X&ved=0ahUKEwiN9v-C-KXJAhWnnqYKHQs4BlAQ_AUIBygC#tbm=isch&q=preposition&imgrc=j4pRxi1IDgL8BM%3A

Preposition (บุพบท) คือคำที่ใช้เชื่อม หรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ เช่น นามต่อ           นาม, กริยากับ นาม, กริยากับสรรพนาม สรรพนามกับนาม, หรือนามกับสรรพนาม

Preposition ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
    1. Preposition คำเดียว Single Preposition
    2. Preposition วลี Preposition Phrase

    Preposition คำเดียวที่พบเห็นบ่อยๆและนิยมใช้กันมากมีอยู่ 44 คำคือ in, on, at, under, to, from, of, off, since, for, near, around, inside, outside, beneath, towards, into, till, until, from…to, with, without, by, up, down, after, before, beside, besides, against, through, across, along, above, over, behind, below, underneath, during, between, among, from…until, within, forward

    Preposition คำเดียว
การใช้ in, at, on บุพบทที่ใช้กับเวลามีหลักดังนี้

in : ใช้บอกเวลาที่เป็นชื่อเดือน, ปี, ฤดูกาล, และส่วนของวัน เช่น 
I like to swim in the morning. ผมชอบว่ายน้ำในเวลาเช้า.

at : ใช้เพื่อบอกเวลาเกี่ยวกับชั่วโมง noon, night, midnight, midday, Christmas, Easter เพื่อบอกเวลาเฉพาะเจาะจงเช่น 

They want home at three o’clock. พวกเขากลับบ้านเวลา15.00 น

on : ใช้เพื่อบอกเวลาที่เป็นวันของสัปดาห์ และวันที่ วันสำคัญทางราชการ และวันสำคัญทางศาสนา เช่น 
on Sunday, on New Year’s Day, on King’s Birthday etc.

on time แปลว่า ตรงเวลาพอดี (ตรงพอดี)เช่น He comes on time. เขามาตรงเวลาพอดี

in time แปลว่าทันเวลา (ก่อนเวลา,ก่อนกำหนด) เช่น The train arrived at the station in time. รถไฟมาถึงสถานีทันเวลา(มาถึงก่อนเวลา) 

การใช้ at, in บุพบทที่ใช้เกี่ยวกับสถานที่มีหลักดังนี้

at : ใช้บอกสถานที่ที่ไม่ใหญ่โตนัก ที่จำกัด แน่นอน เช่น at school, at the hotel….
in : ใช้บอกสถานที่ที่ใหญ่โตก็ได้เช่น in Thailand หรือใช้บอกสถานที่ที่เจาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่ว่าใหญ่หรือโตก็ได้ เช่น in the house, in a country เป็นต้น

การใช้ during, between, among มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 

คำทั้ง 3 แปลว่า “ระหว่าง” แต่ใช้ต่างกันดังนี้
during: ใช้สำหรับบอกระยะเวลาการกระทำช่วงใดช่วงหนึ่งตามที่ระบุไว้ในประโยค เช่น 
During visiting Thailand, I had seen the Emerald Buddha Temple. 
ระหว่างการมาเที่ยวประเทศไทย ฉันได้ไปชมวัดพระแก้ว เป็นต้น 

between: ใช้สำหรับคั่นระหว่างของสองอย่างหรือคนสองคน เช่น 
She’s standing between you and me. 
หล่อนยืนอยู่ระหว่างคุณและผม (เมื่อใช้ between ต้องมี and ตามเสมอ)
among : ใช้สำหรับคั่นหรือเชื่อมนาม ที่มีจำนวนตั้งแต่ 3 ขึ้นไป เช่น The teacher’s standing among us. 

การใช้ in, on, by กับยานพาหนะ
in :ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพปิด กำบัง เช่น in the bus, in the plane…
on :ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพเปิดโล่งแจ้ง ไม่ปกปิดกำบัง เช่น on a horse, on a motorcycle..
by :ใช้ได้ทั้งปิดและเปิด แต่ต้องไม่มี article นำหน้า เช่น by bus, by train …
การใช้ on, over, above มีหลักดังนี้
on :ใช้บอกว่าของที่อยู่บนที่ติดอยู่กับอันล่าง
over :ใช้บอกว่าของอยู่เหนือหัวพอดี
above :ใช้บอกว่าของนั้นอยู่ด้านบน(กว้างๆ)

Preposition วลี
คือ บุพบทตั้งแต่ 2ตัวขึ้นไปรวมอยู่ด้วยกัน และมีความหมายเสมือนเป็นบุพบทคำเดียว แบ่งเป็น 2ชนิด คือ 

1.บุพบทวลีชนิด 2 ตัว two words preposition
2.บุพบทวลีชนิด 3 ตัว three words preposition

บุพบทชนิด 2 ตัว ได้แก่บุพบทต่อไปนี้
according to (ตาม), instead of (แทน, แทนที่), because of (เพราะว่า), owing to (เนื่องจาก)

บุพบทชนิด 3 ตัวได้แก่บุพบท ต่อไปนี้
in order to เพื่อที่จะ,by means of (โดยอาศัย),on account of (เนื่องจาก), in spite of (ถึงแม้ว่า), in front of (ข้างหน้า), in back of ( ข้างหลัง), for the sake of (เพื่อเห็นแก่), of the point of (เกือบจะ), on the point of (เกือบจะ), in consequence of (เนื่องจากว่า) 
* หมายเหตุ การใช้บุพบทนี้ยังมีกริยาบางตัวที่มีข้อบังคับว่าต้องใช้บุพบทตัวใดตามหลังอีกด้วย เช่น belong to (เป็นของ), arrive at (มาถึงสถานที่เล็กๆ), ask….for (ขอ), agree with (เห็นด้วยตกลงด้วย), consist of (ประกอบด้วย), protect from (ป้องกันจาก), believe in (เชื่อ,มีศรัทธา), live on (กินเป็นอาหาร), make of (ทำด้วย), be afraid of (กลัว,เกรงกลัว) 

การใช้คำบุพบทที่ใช้อยู่เป็นประจำในสำนวนอื่น ๆ เช่น
in all directions (ในทุกทิศทุกทาง) , in search of (ค้าหาเพื่อ), in reply to (ในการตอบ),in the end (ในท้ายที่สุด), in the open-air (ในกลางแจ้ง), in a hurry (ในขณะรีบ), in politics (ในทางการเมือง), in my opinion (ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า), in fact (โดยแท้จริงแล้ว), in truth (โดยความจริงแล้ว), in good condition(อยู่ในสภาพดี), in good health (มีสุขภาพดี), in poor health(มีสุขภาพไม่ดี), in row(อยู่ในแถว), in the book (ในหนังสือ), in despair (ด้วยความผิดหวัง), in tears (ด้วยน้ำตา), in ruin (ในสภาพหักพัง), in debt (เป็นหนี้), in luxury (อย่างหรูหรา), in poverty (ในสภาพยากจน) etc

4. การใช้ by (โดย)
คำบุพบท by นี้มีวิธีการใช้ในหลาย ๆ ความหมาย ดังนี้

4.1 ใช้ by กับกริยาที่เรียกหากรรม (Transitive Verb) ในประโยคกรรมวาจก (Passive Voice) เพื่อแสดงให้รู้ว่าใครหรืออะไรเป็นผู้กระทำกริยาอาการนั้น ๆ เช่น
He was attacked by a dog. (เขาถูกสุนัขโจมตี (ไล่กัด))
ในที่นี้จะเห็นว่าผู้ที่กระทำกริยาอาการคือการโจมตีนั้น คือสุนัข (a dog) ส่วนเขา (He) นั้นเป็นผู้ถูกกระทำ

4.2 ใช้ by เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีที่ทำหรือ ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง เช่น
You can travel by car/bus/train/boat/plane.(คุณสามารถเดินทางโดยรถยนต์/รถโดยสาร/รถไฟ/เรือ/เครื่องบิน)
You can book the tickets by phone. (คุณสามารถจองตั๋วทางโทรศัพท์)

4.3 ใช้ by เพื่อแสดงให้ทราบถึงหนทางที่ผ่านไป เช่น
He came in by the back door.(เขาเข้ามาทางประตูหลังบ้าน)

4.4 ใช้ by ในความหมายว่า อยู่ใกล้ ๆ หรือข้าง ๆ เช่น
He is standing by the window. (เขากำลังยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง)

4.5 ใช้ by ในความหมายว่า ผ่านไป เช่น
She passed by me without noticing me. (เธอเดินผ่านผมไปโดยไม่ได้สังเกตเห็นผมเลย)

4.6 ใช้ by เพื่อแสดงถึงชื่อผู้ที่เขียนหนังสือ กำกับภาพยนตร์ หรือทำงานทางด้านศิลปะอื่น ๆ เช่น
This English Grammar Book is written by Dr.Thanapol.
(หนังสือไวยากรณ์อังกฤษเล่มนี้ เขียนโดยดร.ธนพล)

4.7 ใช้ by เกี่ยวกับเวลาในความหมายว่าใกล้ ๆ เวลานั้นหรือก่อนเวลานั้น เช่น
Try to be there by two o’clock. (พยายามไปให้ถึงที่นั่นประมาณบ่าย 2 โมง)
Please finish it by tomorrow. (โปรดทำให้เสร็จก่อนถึงพรุ่งนี้)

4.8 ใช้ by ในความหมายว่า ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองทั้งหมด เช่น
I did it all by myself. (ผมทำมันทั้งหมดด้วยตัวของผมเองทั้งนั้น)

4.9 ใช้ by นำหน้ากลุ่มคำดังต่อไปนี้คือ
by my watch (ตามนาฬิกาของผม) , by the dozen (เป็นโหล (ขาย)), by land (โดยทางบก) etc...

5. การใช้ before (ก่อน)
ถ้านำ beforeมาใช้กับเวลา จะหมายถึงเวลาใดก็ได้ ไม่ได้กำหนดแน่ชัดลงไปแต่ต้องเกิดขึ้นก่อนถึงเวลาที่พูดถึง เช่น
He will be back before ten. (เขาจะกลับเข้ามาก่อนเวลา 10 นาฬิกา)
คำว่า “before” นี้เป็นการกำหนดคร่าวๆ คือจะมาเวลาไหนก็ได้แต่ต้องเป็นก่อน10 นาฬิกาก็เป็นอันว่าใช้ได้
before นี้โดยปกติแล้วจะใช้เกี่ยวกับเวลา แต่ก็นำไปใช้เกี่ยวกับสถานที่ได้เช่นเมื่อเอ่ยถึงลำดับที่ในรายชื่อหรือการเรียงแถว
เช่น Your name comes before mine in the list. (ชื่อของคุณมาก่อนชื่อของผมในรายชื่อ)

6. การใช้ after (หลังจาก)
คำว่า “after” เมื่อนำมาใช้เกี่ยวกับเวลาก็หมายถึงเวลาใดก็ได้ แต่ต้องเป็นหลังจากเวลาที่พูดถึง เช่น
We will leave after lunch. (พวกเราจะออกเดินทางหลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว)

7. การใช้ till (until) (จนกระทั่ง)
คำว่า till และ until มีความหมายเหมือนกันและใช้แทนกันได้ และที่สำคัญคือทั้ง 2 คำนี้ เป็นได้ทั้งคำบุพบท (Preposition) และเป็นคำเชื่อม (Conjunction) ที่จะกล่าวถึงต่อไปจากนี้ด้วย ในที่นี้เป็นคำบุพบทแปลว่า “จนถึง/จนกระทั่ง” เช่น
We will keep it for you till (until) Monday. (พวกเราจะเก็บมันไว้ให้คุณจนถึงวันจันทร์)
ข้อสังเกต ข้างหลัง till (until) นั้นเป็นคำนามคำเดียว คือ Monday ไม่ได้ตามด้วยประโยคจึงเป็นคำบุพบท

8. การใช้ from…..to (จาก.....ถึง)
คำบุพบท from ….to ใช้ได้ทั้งกับเวลาและเกี่ยวกับสถานที่ เช่น
ใช้กับเวลา : I usually work from nine to five.
(โดยปกติผมจะทำงานจาก 9 นาฬิกาถึง 5 นาฬิกา)
ใช้กับสถานที่ : It is about 150 kilometres from Bangkok to Suphanburi Province.
(ประมาณ 150 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯถึงจังหวัดสุพรรณบุรี)

9. การใช้ during (ระหว่าง)
คำบุพบท during จะใช้กับระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันและที่สำคัญคือหลัง during ต้องเป็นคำนาม (Noun) หรือวลี (Phrase) เท่านั้น เช่น
The sun gives us light during the day. (ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างแกเราระหว่างเวลากลางวัน)
ข้อสังเกต
บางครั้งอาจใช้ duringและ inแทนกันได้ เมื่อต้องการพูดว่าบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นภายในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น
We will be on holiday during (in) April. (พวกเราจะอยู่ในช่วงวันหยุดระหว่าง (ใน) เดือนเมษายน)
นิยมใช้ during เมื่อต้องการเน้นถึงช่วงตลอดระยะเวลานั้น เช่น
The company was closed during the whole of April. (บริษัททำการปิดในช่วงตลอดเดือนเมษายน)
เรานิยมใช้ during เมื่อต้องการบอกว่าบางสิ่งได้เกิดขึ้นในเวลาหนึ่งและมีการจบลงในเวลาหนึ่งแต่ไม่ใช่ช่วงระยะเวลา เช่น
I phoned him during the meeting. (ผมโทรถึงเขาในระหว่างการประชุม)
I met him during his stay in Bangkok. (ผมได้พบเขาในช่วงที่เขาพักอยู่ในกรุงเทพฯ)
สำนวนเกี่ยวกับ duringที่ใช้บ่อย เช่น duringmyabsence (ในระหว่างที่ผมไม่อยู่), duringthe concert (ระหว่างมีการแสดงดนตรี), during the war (ระหว่างสงคราม), during the night (ระหว่างเวลากลางคืน), during breakfast (ระหว่างเวลาอาหารเช้า)

คำบุพบทและคำอื่น ๆ ที่นิยมใช้คู่กัน

คำคุณศัพท์ (Adjective) ที่ใช้คู่กับคำบุพบทที่พบบ่อย
absent from (ไม่มา)
adequate for (เพียงพอสำหรับ)
afraid of (กลัว)
aware of (ระวัง)
appropriate for (เหมาะสำหรับ)
capable of (สามารถในการ)
familiar with (คุ้นเคยกับ)
fond of (ชอบ)
friendly with (เป็นมิตรกับ)
free from (เป็นอิสระจาก)
satisfied with (พอใจกับ)
pleased with (พอใจกับ)

ที่มา : http://englishforyoupage.blogspot.com/2012/05/preposition.html

s es

การเติม s es ที่คำกริยา present simple tense

         
            การเติม s es ที่คำกริยา ก็คล้ายกันกับการเติม  s es ที่ท้ายคำนาม เพื่อทำคำนามให้เป็นนามพหูพจน์ทุกประการ ยกเว้นท้ายกริยาที่ลงท้ายด้วย o เท่านั้นที่แตกต่างนิดหนึ่ง เพราะกริยาที่ลงท้ายด้วย o ให้เติม es อย่างเดียว ไม่เหมือนคำนามที่เติม s บ้าง es บ้าง

หลักการเติม S ES มีดังนี้

หากประธานเป็นเอกพจน์ กริยาเติม s,es ส่วนประธานพหูพจน์ไม่ต้องเติมนะครับ หลักการเติมมีดังนี้            1. เติม s หลังคำกริยาปกติทั่วๆ ไป เช่น
คำเดิมคำอ่านเติม sคำอ่านคำแปล
comeคัมcomesคัมสมา
cutคัทcutsคัทสตัด
drinkดริงคdrinksดริงคสดื่ม
feelฟีลfeelsฟีลสรู้สึก
eatอีทeatsอีทสกิน
swimสวิมswimsสวิมสว่ายน้ำ
       2. เติม es หลังคำหริยาที่ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x,  z และ o เช่น

คำเดิมคำอ่านเติม sคำอ่านคำแปล
catchแค็ทชcatchesแค็ชเช็สมา
kissคิสkissesคิสเส็สจูบ
teachทีชteachesทีชเช็สสอน
washวอชwashesวอชเช็สล้าง
buzzบัสbuzzesบัสเส็สส่งเสียงหึ่งๆ
fixฟิกสfixesฟิกเซ็สซ่อม
goโกgoesโกสไป
doดูdoesดัสทำ
  • ถ้าลงท้ายด้วย -shes ให้ออกเสียง เช็ส ต่อท้าย แต่ ช ช้างออกเสียงคล้ายไล่ไก่
  • ถ้าลงท้ายด้วย -ches ให้ออกเสียง เช็ส ต่อท้าย และช ช้างออกเสียงเหมือน ช ช้างของไทย
  • ถ้าลงท้ายด้วย -ses   ให้ออกเสียง เซ็ส ต่อท้าย
  • ถ้าลงท้ายด้วย -ses   ให้ออกเสียง เซ็ส ต่อท้าย
  • ถ้าลงท้ายด้วย -zes ให้ออกเสียง เซ็ส ต่อท้าย แต่ต้องทำเสียงสั่น ๆ ในลำคอหน่อย                                        3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y มี 2 ประการดังนี้                                                                                    หน้า y เป็นสระ ( a , e , i , o , u ) ให้เติม s ได้เลย เช่น
    คำเดิมคำอ่านเติม sคำอ่านคำแปล
    buyบายbuysบายสซื้อ
    playพเลplaysพเลสเล่น
    sayเซsaysเซสพูด
    payเพpaysเพสจ่าย
    stayสเตstaysสเตสพัก
    แต่หน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
    คำเดิมคำอ่านเติม sคำอ่านคำแปล
    flyฟลายfliesฟลายสบิน
    cryครายcriesครายสร้องไห้
    studyสตัดดิstudiesสตัดดิสเรียน
    tryทรายtriesทรายสพยายาม